วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"บัญญัติ 10 ประการเพื่อความสุขในชีวิต"

ผลการศึกษาวิจัยของบรรดานักวิชาการจิตแพทย์ นักจิตวิทยาและผู้ทรงคุณวุฒิ สรุปได้ว่าความสุขของชีวิตแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับเจตคติของบุคคลถึง 90% เข้าทำนองว่าทุกข์หรือสุขขึ้นอยู่กับตัวเรา
สำคัญที่ว่าทำอย่างไร ถึงจะมีเจตคติที่ทำให้ชีวิตมีความสุข มีผู้สรุปบัญญัติ 10 ประการ ไว้ยึดเป็นแนวทาง

  1. เป็นคนใจกว้างรู้จักโอบอ้อมอารี รู้จักแบ่งปัน
  2. มีอารมณ์ขัน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
  3. มีสามัญสำนึก พอเหมาะพอดีไม่ถึงกับต้อง เป็นอัฉริยะ
  4. มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่เป็นคนโกรธง่ายแม้จะหายเร็วก็เถอะ
  5. รู้จักความคุ้มค่า ของทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าเป็นเงินทองหรือเวลาให้ใช้ให้เป็นประโยชน์และคุ้มค่ากับสิ่งของเล่านั้น
  6. ฉลาด หัดสนใจสิ่งรอบตัวว่าเขาก้าวไกลไปถึงไหน 
  7. รู้จักอดทนต่อผู้อื่น มองคนในแง่ดี ไม่มีใครดีพร้อมทุกอย่าง แม้แต่ตัวเอง
  8. รู้จักให้อภัย จะง่ายหรือจะยากขึ้นอยู่กับเหตุการณ์
  9. ไม่เห็นแก่ตัว ทำสิ่งใดถ้ามัวคิดถึงแต่ตัวเอง อาจนำไปสู่ความอ้างว้างเดียวดาย หัดคิดถึงคนอื่นจะทำใ้ห้เห็นแก่ตนเองน้อยลง
  10. มีึวามโรแมนติก รู้จักเป็นผู้มีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจสิ่งที่มีความหมายและคุณค่าทางจิตใจ
** นอกจากจะช่วยสร้างความสุขในชีวิตแล้วยังทำให้เป็นที่รักของคนรอบข้างอีกด้วยนะค่ะ**

"เส้นตรงแห่งความสุข"

ความรักในความรู้สึกของหนุ่มสาวที่ยังไม่เคยสัมผัสคงมีแต่ความรู้สึกที่ดีๆ คือความสุข สดใส บริสุทธฺ์ เป็นแนวทางแห่งความรักที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เมื่อใดสัมผัสถึงความรักเข้าจริงๆจะพบว่ามีความร้สึกหลายอย่างปะปนซ่อนเร้นอยูาในตัวมัน และพร้อมที่จะออกมาตามช่วงจังหวะขอชีวิต ซึ่งเปรียบเทียบเสมือนละครฉากใหญ่ฉากหนึ่งๆมีทั้งความรัก ความสมหวัง ความห่วงใย กำลังใจ  และเมื่อจังหวะใดที่เกิดมีราหูเข้ามาแทรก ทำให้คนทั้งคู่หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน ไม่เข้าใจ
*******คนเราที่มีความรัก การที่จะประคับประคองให้ความรัก อยู่คู่เราตลอดไปนั้นถ้าจิตใจทั้งคู่ไม่หนักแน่นพอ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไม่มีการให้อภัยและไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน มันจะรวมตัวกันบั่นทอนความรักให้ลดน้อยลงไปทุกขณะจนในที่สุดความรักอาจกลายเป็นความเกลียดความแคล้นได้ เพราะฉนั้นคู่รักทั้งหลายขอให้ท่านเดินทางมาพบกันครึ่งทาง อย่าถือทิฐิมากจนเกินไปบางครั้งเราอาจเดินเลยครึ่งทางไปทางเขาบ้างและบางครั้งเขาอาจเดินเลยครึ่งทางมาทางเราบ้าง ก็จะทำให้ชีวิตรักท่านอยู่กันท่านอย่างถาวรและยั่งยืนค่ะและเมื่อนั้นความรักของท่านจะเป็นเสันตรงแห่งความสุข ซึ่งมีพลังในตัวของมันเป็นเส้นตรงที่พร้อมที่จะชนและผจญต่อขวากหนามและอุปสรรคตางๆในชิวิตที่คอยจะมากระทบกระทั่งให้เส้นตรงนี้าดหายไปได้อย่างเข้มแข็ง

"ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

 ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ความหมายง่าย ๆ มีอยู่ในตัวอยู่แล้ว คือเมื่อเรามีสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็จะดีตามด้วย คนที่มีสุขภาพจิตดี ก็คือ คนที่เข้าใจตนเอง สามารถปรับตัวปรับใจได้อย่างเหมาะสมกับสังคมและสภาพความเป็นจริง เมื่อมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตก็สามารถคิดแก้ไขได้อย่างถูกวิธี คนที่อยากมีสุขภาพจิตดี จะต้องทำอย่างไรบ้าง เทคนิคการดูแลสุขภาพจิตให้ดีนั้นมีหลักปฏิบัติไม่ง่ายไม่ยากเกินไปดังนี้



  • ฝึกฝนจิตใจ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้บอกเราไว้ว่า ใจสว่าง ใจสะอาด ใจสงบ ถ้ามีครบจึงเรียกว่ามนุสสาทุกคนควรหมั่นฝึกควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเองให้มั่นคง สุขุม เยือกเย็น มีเมตตา รู้จักให้อภัยและเข้าใจคนอื่น มองโลกในแง่ดี
  • ฝึกปรับตน รู้จักปรับความคิดของตนเองให้เป็นคนมีเหตุมีผล ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ปรับตนเองให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงในสถานการณ์ต่าง ๆได้
  • ฝึกพิจารณาตนเอง สำรวจตนเองอยู่เสมอว่า ว่าตนองนั้นมีข้อเสียตรงไหนข้อดีตรงไหน ก็เก็บเป็นกำลังใจเพื่อพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ส่วนข้อเสียก็ปรับปรุงแก้ไข
  • ฝึกทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ผลการกระทำที่เกิดจากการช่วยเหลือสังคมหรือจากการกระทำคุณความดี ก็ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจ ผู้กระทำนั้นก็มีความสุขใจ ภาคภูมิใจ และยังเป็นที่ยอมรับของคนอื่นด้วย
  • ฝึกยอมรับและเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ตามหลักพุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีเกิดขึ้น ..ตั้งอยู่..และดับไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ และเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ การฝึกตนเองมีสุขภาพจิตดีนั้น คงไม่ยากเกินไปที่จะนำไปปฏิบัติ เริ่มต้นเสียแต่ตอนนี้ ใช้ความพยายามวักนิด คิดว่าคงไม่เกินความสามารถของแต่ละคนอย่างแน่นอน แล้วท่านก็จะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีสุขภาพจิตดี มีชีวิตที่เป็นสุข